รายชื่อหนังขาดทุน บรรดาภาพยนตร์ที่ทางบริษัทผู้สร้างได้ลงทุนลงแรงไปมหาศาล โดยหมายมั่นปั้นมือว่าต้องเป็นหนังสุดปัง แต่หลังจากออกฉายกลับสุดแป้ก
รายชื่อหนังขาดทุน สำหรับภาพยนตร์เรื่อง ” John Carter “ ( นักรบสงครามข้ามจักรวาล ) ที่ค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง ” Disney Studio “ ได้ทุ่มเทเงินทุน ที่สำหรับใช้สร้าง ภาพยนตร์เรื่องนี้ ไปมากมายกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต้องขาดทุนชนิดที่เรียกว่าย่อยยับ หนังขาดทุน ตลอดกาล จนผู้บริหาร ของทางบริษัท ถึงกับไมเกรนรับประทาน
เพราะนอกจากทุนสร้าง ที่เป็นจำนวนเงิน ระดับมโหฬารแล้ว ก็ยังจะต้องบวกกับ ค่าใช้จ่ายที่ เกี่ยวข้องกับการตลาด เพื่อประชาสัมพันธ์ ในส่วนของภาพยนตร์ หนังเด็ด ต้องแนะนำ ให้เผยแพร่เป็นที่รู้จัก กันไปทั่วโลก อีกเป็นจำนวนเงินที่ มหาศาลพอกัน
แต่หลังจากที่ ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ได้ออกฉายใน โรงภาพยนตร์ไปทั่วโลก กลับทำรายได้ จากการฉายไปได้ แค่เพียง 269 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หนังขาดทุน 2020 ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ทางด้านของบริษัท ผู้สร้างอย่าง Disney Studio
จะต้องสูญเงินทุน ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ไปมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งก็ยังจะต้อง ตามล้างตามเช็ด หนี้สินที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ก่อเอาไว้ อีกประมาณ 80-120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดยสิ่งที่ได้เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นสาเหตุ ที่ส่งผลให้ ” ริช รอสส์ “ ผู้บริหารระดับสูงของทางบริษัท ได้ทำการประกาศลาออก เพื่อเป็นการแสดง ความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ หนังขาดทุน 2021 ที่ได้เกิดขึ้นในครั้งนี้
แต่ในช่วงของ ระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มีภาพยนตร์ ที่ได้กล่าวมาในข้างต้น แต่เพียงเรื่องเดียว ที่จะต้องประสบกับ เหตุการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ เพราะก็ยังมี ภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง ที่ได้เผาผลาญ เงินลงทุนไป เป็นจำนวนมาก แต่กลับต้องเจ๊งกันไป แบบไม่เป็นท่า โดยทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ล้วนแต่เป็นสถิติ ที่ถูกบันทึกเอาไว้ ในกินเนสบุ๊คเลยทีเดียว
บรรดาภาพยนตร์ที่ประสบกับปัญหาการขาดทุนหลังจากการออกฉาย ที่ถูกบันทึกเอาไว้เป็นสถิติ
1. Cutthroat Island
นี่คือภาพยนตร์ ในแนวโจรสลัดสุดฮิต ที่มีรูปแบบ และแนวทางของเนื้อหา เดียวกันกับภาพยนตร์เรื่อง ” Pirates of the Caribbean “ ที่ได้เคยถูกบันทึก เอาไว้ว่าเป็นภาพยนตร์ หนังที่ เจ๊ง ที่สร้างปัญหา เอาไว้มากมายที่สุด ในวงการภาพยนตร์ ของฮอลลีวูด กันเลยทีเดียว
โดยปัญหานั้น ได้เริ่มต้นจากการที่ ทางบริษัทผู้สร้าง มีความจำเป็นที่จะต้อง เปลี่ยนตัวนักแสดงนำ ที่ได้ถูกวางตัว เอาไว้ตั้งแต่แรก ด้วยเหตุผลที่ว่า ไมเคิล ดักลาส ผู้ที่จะต้องมารับบทเป็น นักแสดงนำของเรื่อง มองว่าบทของพระเอก ที่ตัวของเขาได้รับนั้น ดูออกจะอ่อนด้อยไปกว่า บทของนางเอก อย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งทางบริษัท ผู้สร้างภาพยนตร์ จึงมีความจำเป็น ที่จะต้องเอาหวยมาออกที่ แมทธิว โมดีน นักแสดงหนัง อินดี้นอกกระแส ที่ดูจะมีชื่อชั้นที่ ออกจะดูห่างจาก ดักลาสอยู่มากพอสมควร
และภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ได้สร้างรายจ่าย อย่างถล่มทลายให้กับบริษัท ” Carolco “ ผู้เป็นเจ้าของเงินลงทุนของภาพยนตร์ ไปมากกว่า 115 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แต่เมื่อในทันที ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ออกฉายในโรงภาพยนตร์ มันกลับสร้างรายได้ ให้กับทางบริษัทได้แค่เพียง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น โดยงานนี้ทางบริษัทของผู้สร้าง ต้องเผชิญหน้า กับอาการขาดทุน หนังที่ ขาดทุน ที่สุด Pantip ชนิดที่เรียกว่า หน้ามืดไปถึงราว 147 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องสุดท้าย เพราะบริษัทได้ปิดกิจการ ไปโดยปริยาย
2. The Alamo
นี่คือภาพยนตร์แบบย้อนยุค ในแนวของสงคราม สถานการณ์การสู้รบ ของเหล่าผู้กล้า และเสียสละ ชาวอเมริกันวีรชน โดยเป็นเหตุการณ์ ที่พวกเขาจับมือกัน เพื่อร่วมกันต่อสู้ ในการที่จะปลดแอก จากการเข้ามารุกราน เพื่อครอบครองดินแดน ของกองกำลังจาก ประเทศเม็กซิโก
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ ภาพยนตร์ต่างประเทศ ได้ทำการเข้าฉาย ในโรงภาพยนตร์เมื่อปี 2004 ภายใต้ภาระของต้นทุน ที่ใช้ไปใน การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เป็นจำนวนเงิน มหาศาลกว่า 145 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แต่หลังจากที่ภาพยนตร์ เรื่องนี้ได้เข้าฉาย ผลลัพธ์ของมัน กลับไม่ได้เป็นไป ตามที่ทางบริษัทผู้ผลิต ได้คาดการณ์กันเอาไว้ โดยหลังจากที่ทางบริษัท หนัง ดิสนีย์ ขาดทุน ได้ทำการสรุป ยอดค่าใช้จ่าย ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็พบว่าพวกเขา ต้องขาดทุนไปมากถึง 147 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงได้ถูกจดบันทึก เอาไว้ในความทรงจำ ของทางบริษัท ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด รวดร้าวเป็นอย่างยิ่ง และพวกเขาก็ ไม่มีความคิด ที่จะสร้างภาพยนตร์ ในแนวนี้ออกมาอีกเลย
3. The Adventures of Pluto Nash
และนี่คือภาพยนตร์ในแนวแปลก ที่ค่อนข้างจะ มีความแหวกแนว ของเทรนด์ภาพยนตร์ ที่ได้รับความนิยม ในขนาดนั้นเป็นอย่างมาก เรียกว่าถ้าลองฉีกดู อาจจะได้เงินก็ได้มั้ง
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพยนตร์ในแนว ไซไฟ-คอมเมดี้ ที่ได้วางงบประมาณ ในการสร้างเอาไว้ มากที่สุดแห่งปี 2002 เนื่องจากว่าแทบจะ ตลอดทั้งเรื่อง ได้มีการสอดแทรก
ฉากที่เต็มไปด้วย Special effect เอาไว้อย่างมากมาย โดยทางบริษัทผู้สร้าง ได้มุ่งเน้นในเรื่องของ ความยิ่งใหญ่ในตัว ภาพยนตร์เป็นอย่างมาก โดยได้หวังเอาไว้ว่า จะให้มันเป็นจุดขาย ที่จะสามารถดึงดูด ความสนใจของผู้ชม ให้ได้มากที่สุด
แต่เมื่อในทันที ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ผู้ชมทุกคน ก็ได้พบว่า หนัง ขาดทุน 2017 ฉาก Special effect ต่างๆ ที่สอดแทรกเอาไว้ แทบจะตลอดทั้งเรื่องนั้น เป็นแค่เพียงเทคนิคกากๆ ที่ไม่ได้มีความ น่าสนใจอะไรเลย และดูออกจะน่าตลก ขบขันเสียด้วยซ้ำ
ภาพพจน์โดยรวม ของภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงมองดูคล้ายกับ ภาพยนตร์เกรด B ทั่วไป โดยถึงแม้ว่า การที่ได้นักแสดง ดาวตลกชื่อดังอย่าง เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ มาเป็นตัวเรียกแขก ให้กับภาพยนตร์
ก็ไม่ได้เป็นสิ่ง ที่ช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ สามารถทำกำไร ให้กับทางบริษัท ผู้สร้างได้เลย อีกทั้งแถมยังขาดทุน แบบสุดบรรลัยไปถึง 146 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกด้วย
Artist Em